Monday, November 29, 2010

เชียงใหม่ไดอารี่ ปี 53 (4)

วันนี้ตอนเย็นจะกลับกรุงเทพแล้ว โปรแกรมวันนี้สบายๆ แค่นั่งรถไปดูของแถวบ้านถวาย และเดินดูร้านสวยๆบนถนนนิมมานเหมินทร์

เดี๋ยวนี้ถนนนี้เป็นแหล่ง Hot Hit มากๆ ที่ดินตรว.ละ ประมาณ 8 หมื่นบาท !! (คุณครรชิตบอก) และโจโจ้เล่าว่าตอนก่อนกลับกรุงเทพ ไปแวะกินกาแฟที่ร้านบนถนนนิมมานเหมินทร์ เห็นประกาศบอกขายที่ดิน 300 กว่าตารางวา เลยโทรไปถามราคา โจโจ้แกล้งเล่าว่าเกือบซื้อแล้ว แต่ถามราคาเค้าอีกที ฟังเลขผิดไปหลักนึง นึกว่า 3.1 ล้าน แต่จริงๆเค้าขาย 31 ล้าน!

หลังอาหารเช้า เรา Check-out ห้องนึงก่อน ส่วนอีกห้องทางโรงแรมให้ Late Check-out ได้ถึงเวลาที่เราจะออกจากโรงแรมไปสนามบินเลย ..โรงแรมใจดี

จ่ายเงินแล้วขอใบเสร็จโรงแรมมาด้วย จะได้เอาไปหักภาษีเงินได้ตอนสิ้นปีตามนโยบายส่งเสริมเที่ยวเมืองไทยของรัฐบาล 555

จากโรงแรม นั่งรถประมาณ 20 นาทีก็ถึงบ้านถวาย เป็นแหล่งขายเฟอร์นิเจอร์ไม้ราคาไม่แพง แต่เรายังไม่ต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์อะไร เลยดูพวกของกระจุกกระจิก ซึ่งก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นของที่ระลึกที่ทำจากไม้ และเวลาที่เราไปถึงร้านค้าเปิดกันอยู่แค่ไม่กี่ร้าน เงี๊ยบเงียบ

กลับเข้าเมือง แวะไปกินไอติมร้าน iberry อีกรอบ ที่นิมมานเหมินทร์ เชียงใหม่นี่เป็นร้านใหญ่เลย จัดร้านน่ารักน่านั่ง ทั้งส่วน indoor และ outdoor

ซื้อของที่ระลึกแล้วขอลายเซ็นเจ้าของร้านต่อ
ออกจาก iberry แวะไปร้านสุริยันจันทรา ซอยนิมมานเหมินทร์ 1 ที่เราไปนั่งดูของ นั่งคุยอยู่นานเมื่อเย็นวันก่อน

เราไปถึงเที่ยงกว่า ร้านปิดพักเที่ยง เพราะเจ้าของเค้าขายเองอยู่คนเดียว เดิมมีลูกจ้าง และกิจการดีมาก แต่ปลายปีที่แล้วเจ้าของเค้าถูกโกง แทบหมดตัว ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ (อ่านจาก Blog ของสุริยันจันทรา) แต่พวกศิลปินทั้งหลายที่ผลิตงานให้ยังให้การสนับสนุนช่วยเหลือ ส่งผลงานศิลปะ ทั้งภาพเขียน งานปั้น.. มาให้ขายที่ร้านอยู่

บรรยากาศในร้าน
ภาพเขียนสวยๆทั้งนั้น
น่ารักน่าซื้อ
คุณโอเจ้าของร้านน่ารักดี ดูอารมณ์ดี คุยเก่งด้วย สมกับเป็นคนขายของ ไม่ได้พูดโน้มน้าว แต่ว่าสามารถทำให้เราอยากซื้อไปหมดเลยน่ะสิ สินค้าในร้านสามารถสั่งซื้อทาง Internet ได้ ฟรีค่าขนส่งทั่วราชอาณาจักร หรือถ้าลูกค้าอยากได้ภาพเขียนชิ้นไหน สามารถซื้อเงินผ่อนได้ ผ่อนครบเมื่อไหร่คุณพี่โอจัดส่งของให้ทันที

ร้านปิด เราก็เลยไปกินข้าวก่อน มื้อนี้เป็นอาหารจีนที่ร้านเหมยเจียง ช้างคลานพลาซ่า ติดโรงแรม Shangri-la ร้านนี้หลายคนแนะนำ เสียดายว่าไม่มีติ๋มซำอ่ะ ถ้าจะกินติ๋มซำต้องกินร้านแยงซีเจียง นิมมานเหมินทร์ซอย 5 เจ้าของเดียวกับเหมยเจียง คุณพี่โอบอกว่าเจ้าของร้านเค้าจะอยู่มี่แยงซีเจียงประจำ


น้องมิขอแวะร้านรองเท้า เป็นร้านเล็กๆ เจ้าของออกแบบรองเท้าเอง เล่าว่าไปเรียน Footwear Diploma มาจากอังกฤษ ชื่อร้าน Palmy อยู่นิมมานซอย 5 หรือ 7 นี่ละ ต้นๆซอย

แล้วก็...แวะกินเค้กกันอีกแล้ว เราต้องมี Coffee Break กินน้ำชากาแฟกับขนมกันทุกบ่าย :)
ตอนแรกจะแวะร้าน Cake Cottage ซอยศิริมังคลาจารย์ แต่ไปถึงร้านบ่าย 2 โมงกว่า ร้านปิดมืดแล้ว คนในร้านบอกว่าวันนี้ขายหมดแล้ว!!
เราจึงต้องแวะร้าน Mont Blanc ริมถนนนิมมานเหมินทร์แทน เค้กใช้ได้ แต่ chocolate เย็นไม่หร่อย หวานเกิน


ออกจากร้านเค้กสี่โมงเย็น วันนี้วันอาทิตย์ ถนนท่าแพมีปิดถนนทำถนนคนเดินให้คนเอาของมาขาย น้าจ้อยกับหลานมิอยากไป แต่คนอื่นๆขอกลับไปพักที่โรงแรมก่อนที่จะออกเดินทางไปสนามบินตอน 6 โมงเย็น เราเลยไปเดินท่าแพกัน 2 คน เดินประมาณชั่วโมงนึงก็กลับ

Check-out แล้วก็เดินทางไปสนามบิน
จากโรงแรมไป Airport ประมาณ 10 นาทีเท่านั้น สะดวกดี

สายการบิน Bangkok Airways มี Passenger Lounge ให้นั่งรอขึ้นเครื่อเช่นเคย แต่ที่สุวรรณภูมิดีกว่านะ ที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรให้เลือกกิน

ของฝากที่กาดหลวง

ไส้อั่วเม็งราย - มีคนเคยแนะนำพ่อให้ซื้อยี่ห้อนี้ตั้งแต่สมัยพ่อยังไม่ปลดเกษียณน่ะเจ้านี้ Seal ใส่ห่อสุญญากาศมาอย่างดี ห่อละครึ่งกิโล สะดวกมาก ที่ Chiang Mai Airport ก็มีขาย ซื้อแล้วหิ้วขึ้นเครื่องบินได้เลย ราคาจะแพงกว่าในเมืองนิดหน่อย

กาละแม เมื่อได้กินของสมุยแล้ว ของเชียงใหม่ชิดซ้าย พูดแล้วอยากกินกาละแมหินตาหินยายจังงงง.. ทั้งเหนียวทั้งหอมน้ำตาลมะพร้าวมากๆ แล้วที่ซื้อเชียงใหม่นะ ตอนให้เราชิมก็นิ่มเหนียวดี แต่ห่อที่ใส่ถุงส่งให้เราตอนซื้อนี่สิ ไม่หนืดเลย เหม็นหืนอีกต่างหาก

อื่นๆก็แล้วแต่ชอบ มีทั้งของสด ของ แห้ง ไส้อั่ว แคบหมู จิ๊นปิ้ง น้ำพริกหนุ่ม ข้าวเหนียว ผัก ผลไม้

ถ้าแวะกาดหลวงก็อย่าลืมไปเดินซอกซอยตรอกเหล่าโจ๊วด้านหลังตลาดด้วย หนุกดี ของถูกด้วย

Tuesday, November 23, 2010

เชียงใหม่ไดอารี่ ปี 53 (3)

มื้อเช้าวันนี้ คุณครรชิตพาไปกินน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ แถวกาดหลวง อร่อยๆๆ ชอบๆ
ป้ากับน้ากินน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ หน้าทางเข้าตลาดวโรรส ฝั่งตรอกเหล่าโจ๊ว ตรงข้ามกับศาลเจ้า อร่อยมากทั้งน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋เลยเชียว

ส่วนเด็กๆไม่ยอมกิน รอจะไปกินปาท่องโก๋สัตว์ประหลาด โกเหน่ง ซึ่งต้องเดินทะลุไปออกอีกฝั่งของตลาด ถนนมีรถสองแถว รถส่งของจอดเยอะเลย หน้าปากซอยร้านปาท่องโก๋โกเหน่งมีสาขาธนาคารธนชาติ (คิดว่าใช่นะ)

กำลังทำปาท่องโก๋ไดโนเสาร์ของก๊าบ
ผลงานเมื่อเสร็จเรียบร้อย
ช้างของน้องมิ

โกเหน่งใจดี ทำรูปจระเข้ให้ดูด้วย
กินเสร็จเดินดูของกระจุ๊กกระจิ๊กแบบราคาขายส่งในตรอกเหล่าโจ๊ว ต้องเดินลัดเลาะไปทางซอยข้างหลัง ได้ของน่ารักๆราคาไม่แพงมาพอสมควร น้องมิซื้อกระเป๋าผ้าเล็กๆมาฝากเพื่อน ถูกกว่าที่ขายในถนนคนเดินมาก รองเท้าแตะ slipper ก็ถูก
แผงขายพู่น่ารักในซอกซอย
วันนี้เราไปเที่ยวสวนสัตว์เชียงใหม่ อยู่เชิงเขาที่ขึ้นไปดอยสุเทพ หน้าสวนสัตว์มีเสื้อยืดกางเกงชาวเลสีน่ารักๆ กะว่าดูสัตว์เสร็จแล้วจะเดินออกมาดู เอาเข้าจริง ลืมไปเลย อดซื้อ
เรามุ่งหน้าไปดูหลินปิง แต่ทั้งหลินปิงทั้งหลินฮุ่ย นอนหลับกันทั้งแม่ทั้งลูก

หลินฮุ่ยนอนมุมซ้าย หลินปิงหลับหันหลังให้ทางมุมซ้าย - เห็นมั้ย?
เราเลยเดินไปห้องต่อไป ดูช่วงช่วงมั่งช่วงช่วงกำลังนั่งกินต้นไผ่อย่างเอร็ดอร่อย


อิ่มแล้วก็ต้วมเตี้ยมไปนอนพาดขอนไม้ แกว่งขาสบายใจเชียว


หลินฮุ่ยหลินปิงไม่ยอมตื่น เราเลยนั่ง Shuttle Bus ไปที่ Aquarium ดูสัตว์น้ำ สนุกดี คนไม่เยอะ (ดีด้วย ได้ตั๋วแบบ ซื้อ 1 แถม 1)
บริเวณหน้า Aquarium
ตู้ปลาสวยดี
อุโมงค์กระจก
ที่สวนสัตว์เชียงใหม่มี Shuttle Bus ให้นั่งรอบสวนสัตว์ซึ่งกว้างขวางมาก ถ้าเราอยากแวะลงตรงไหนก็ลงได้ และรอขึ้นรถคันต่อไป แต่นั่งได้แค่รอบเดียว ถ้าจะนั่งอีกรอบก็ต้องซื้อตั๋วใหม่


สวนสัตว์เชียงใหม่ต้นไม้สวย ร่มรื่น และเนื้อที่กว้างขวางมากๆ แค่นั่งรถของสวนสัตว์ ฟังคนขับรถบรรยายยังตั้งนานแน่ะ กว่าจะครบรอบมาจบที่จุดตั้งต้นหน้าประตูสวนสัตว์ แล้วคนขับรถแต่ละคันเค้า entertain ผู้โดยสารเก่งมาก พูดตลกๆให้คนฟังไม่เบื่อ คอยชี้ชวนให้ดูสัตว์ต่างๆ แค่นั่งรถดูรอบสวนสัตว์ก็สบายดี ไม่ต้องเดินเยอะ


กลางวันไปกินข้าวซอย ขนมจีนน้ำเงี้ยว ที่ร้านลำดวน ถนนฟ้าฮ่าม อร่อยอีกแระ (อ่านมาว่าร้านนี้มีสาขาที่กรุงเทพด้วย อยู่ซอยวิภาวดี 58 ถนนวิภาวดี-รังสิต)
ขนมจีนน้ำเงี้ยว ร้านลำดวน
อ่านในหนังสือนำเที่ยวเชียงใหม่ บอกว่าที่ร้านลำดวน มีขนมรังผึ้ง (Waffle นั่นเอง) อร่อยมาก แต่เราเดินไปดูแล้ว เค้าทำทิ้งไว้นานแล้ว เหลือแค่ไม่กี่ชิ้น และไม่ทำใหม่แล้วด้วย ดูไม่น่ากิน เลยไม่กินดีกว่า

ตอนบ่ายน้องมิน้องก๊าบอยากไปจับลูกเสือเล่นที่คุ้มเสือ อยู่ที่แม่ริม ค่าเข้าไปลูบคลำเสือแพงมากเลย
ถ้าลูกเสือขนาดเล็ก ค่าเข้าไปจับเล่น 520 บาท ต่อ 15 นาที!
ถ้าเสือขนาดกลางและขนาดใหญ่ ค่าเข้าไปลูบเสือ ถ่ายรูปกับเสือ 320 บาท
(คนคงอยากเล่นกับเสือเล็กมากกว่าเสือตัวใหญ่ เลยแพงกว่า)

ที่นี่มีแต่ฝรั่งมาเที่ยว ..ก็ราคาตั้งขนาดนี้อ่ะนะ
(เห็น Brochue ของสวนเสือศรีราชา ราคาถูกกว่านี้มาก)

น้องก๊าบเล่าว่าในห้องที่เค้าพาไปมีลูกเสือประมาณ 6-7 ตัว แต่ส่วนใหญ่มันนอนหลับกันหมด เพราะเสือจะนอนเฉลี่ยประมาณวันละ 18 ชม.แน่ะ
แล้วลูกเสือรุ่นนี้ตัวมันก็ใหญ่เกินกว่าจะอุ้มไหวแล้วด้วย
หมีแพนด้าคงนอนเยอะพอๆกัน เพราะหลินฮุ่ย หลินปิงหลับกันคร่อก ช่วงช่วงกินอิ่มก็หลับต่อทันที

อันนี้เป็นรูปที่เด็กๆถ่ายมา

ลูกเสือหน้าตางงๆ
คุณยาย คุณแม่ คุณน้า นั่งรอเด็กๆอยู่ที่ Lobby ข้างนอก ให้หลานๆเข้าไปด้านในคุ้มเสือ โดยมีเจ้าหน้าที่พาเดินไปด้วย
ที่บริเวณ Lobby มีตู้ปลา Spa เท้าให้ทดลองใช้บริการ มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นต่างชาตินั่งแช่เท้ากันนานมาก ไม่เลิกแช่กันซะที ตอนแรกว่าจะลองแช่เท้ามั้ง แต่ดูเด็กพวกนี้แช่แล้วไม่กล้าเอาเท้าแช่ต่อเลยเรา

พวกเสือขนาดใหญ่เราสามารถมองเห็นจากบริเวณ Lobby มองเห็นฝรั่งเข้าไปลูบเสือ ไปถ่ายรูปคู่ แต่ต้องมีเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา


คุณครรชิตเล่าว่าเคยมีนักท่องเที่ยวถูกขย้ำ เย็บตั้งหลายสิบเข็ม เห็นว่าเป็นเพราะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ที่เค้าดูแลเสือน่ะ แต่ถ้าเสือขนาดเล็กเรามองไม่เห็น เด็กๆต้องเดินไปด้านหลัง ถ้าให้มองเห็นได้ คนคงไม่เสียเงินเข้าไปเล่น

ออกจากคุ้มเสือ น้องก๊าบขอไปเที่ยวน้ำตกบ้าง รถตู้เลยพาไปน้ำตกแม่สา ซึ่งอยู่ถัดจากคุ้มเสือไปไม่ไกล (ระหว่างทางผ่านป้ายร้านกาแฟวาวี ซึ่งเค้าว่าสาขาที่สวยที่สุดของกาแฟวาวีเลยนะ เสียดายจังที่ไม่ได้แวะ)

น้ำตกแม่สามีทั้งหมด 10 ชั้น รถขึ้นไปได้ถึงชั้น 3 จากนั้นต้องเดินขึ้นไปเอง มีน้าจ้อยนี่ล่ะ ต้องเดินขึ้นไปกับน้องก๊าบ คนอื่นขอนั่งรอกันหมด น้องมิบอกว่าหนูไม่ชอบอยู่แล้ว พวกเที่ยวป่าเที่ยวน้ำตก (เธอชอบเที่ยวห้างสรรพสินค้า เที่ยวเมืองนอก)


เดินไปกลับขึ้นลงเขา 2 กิโลกว่า เหนื่อยหอบเหมือนกัน รีบซื้อน้ำกิน

กลับเข้าเมือง พี่เจื้อยขอแวะนั่งพักกินกาแฟที่ร้านกาแฟวาวี สาขานิมมานเหมินทร์ สั่งกาแฟกินกับ Coconut Pie หรือ Tart อะไรนี่ละ อร่อยอีกแล้ว


ของอร่อย
จากร้านกาแฟ เราตั้งใจจะไปเดินดูของที่ถนนคนเดิน ถนนวัวลาย แต่ฝนตกลงมาอย่างหนัก เลยแวะกินอาหารเย็นให้เรียบร้อยก่อนเลยดีกว่า
เย็นนี้กินอาหารอิตาเลียน คุณครรชิตแนะนำว่าร้านนี้อร่อย ชื่อ "Giorgio" เจ้าของร้านเป็น Italian ภรรยาไทย เราไปถึง 6 โมงสี่สิบ มีคนกินอยู่แล้ว 2-3 โต๊ะ นั่งแป๊บเดียวคนเต็มร้าน คนต่างชาติมากินเยอะเลย บรรยากาศเหมือนกินอยู่เมืองนอกทีเดียว แต่ในร้านไฟสลัวมาก ถ่ายรูปได้ไม่ชัด


กินเสร็จ ไปเดินถนนคนเดินที่วัวลายต่อ


เดินประมาณชั่วโมงนึง แล้วนั่งรถกลับโรงแรม ถึง 3 ทุ่มนิดๆ ภรรยาคุณครรชิตโทรมาบอกว่า Germany ยิงประตูเข้าไปได้แล้ว 1 ลูก

(อ่านตอนต่อไปได้ที่ เชียงใหม่ไดอารี่ ปี 53 (4))

Monday, November 22, 2010

เชียงใหม่ไดอารี่ ปี 53 (2)

เมื่อคืนหลังจากฝนตกหนัก ฟ้าสะเทือนเข้ามาถึงในห้องพัก คิดว่าเช้านี้จะอากาศสดใส แต่กลายเป็นว่าเช้านี้อากาศยังครึ้ม เมฆหนาอยู่อีก

วันนี้เราเช่ารถตู้ ให้มารับพวกเราตอน 10 โมงเช้า หลังจากกินอาหารเช้าในโรงแรมเสร็จเรียบร้อย (กินกันทั้งวันทั้งคืน)
เดินทางไปเที่ยวลำพูนกันก่อน นัดเจอกับโจโจ้ที่พระพุทธบาทตากผ้า ใช้เวลานั่งรถตู้จากเชียงใหม่ไปประมาณ 1 ชั่วโมง
ด้านบนของวัดพระพุทธบาทมีพระธาตุสี่ครูบา จะเดินขึ้นบันไดไปหรือว่าขับรถขึ้นไปก็ได้ (เรานั่งรถขึ้นไป)สถูปข้างบนสวยมาก แต่เงียบมากด้วย ไม่มีคนมาเที่ยวเลย แต่พวกเราชอบนะ คนน้อยๆ เพียงแต่วัดจะไม่ค่อยมีคนไปทำบุญเท่านั้นแหล่ะ

ครูบาทั้งสี่ซึ่งเป็นพ่อลูกกัน ได้แก่
ครูบาพ่อเป็ง โพธิโก (พ่อ)
ครูบาอินทจักร หรือพระสุธรรมยานเถระ
ครูบาคัมภีระ หรือพระครูสุนทรคัมภีรยาน
ครูบาพรหมจักร หรือพระสุพรหมยานเถระ


ลงมาที่พระพุทธบาทตากผ้าด้านล่าง ก็มีคนมาเที่ยวน้อยมากอีกเช่นกัน

รอยพระพุทธบาท มี 2 รอย เพราะรอยหน้าเป็นพระพุทธบาท รอยด้านหลังเป็นรอยเท้าเณรที่เป็นลูกศิษย์ ..อันนี้โจโจ้ว่างั้น ยังไม่ได้ลองหาข้อมูลจาก google ดูเอง

อีกรอยเป็นรอยตากผ้า ต้องเดินไปดูด้านหลังวัด แปลกดี มีตำนานสนุกด้วย (Click ที่รูป จะได้อ่านตำนานชัดๆ)


ตอนบ่ายหลังกินข้าว ไปพระธาตุหริภุญชัย ซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีไก่ด้วย คนก็เงียบเชียบ ไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวมาไหว้พระเล้ย

หวังว่าเสาร์อาทิตย์วัดเหล่านี้คงมีคนมาเที่ยวมาไหว้พระกันมากกว่านี้

โจโจ้แวะซื้อไส้อั่ว ร้านใส้อั่วยายปี๋
มีน้ำพริกขายเป็นปั้นๆห่อเล็กๆ จิ้มกับแคบหมูอร่อยมากกก.. (ส่วนไส้อั่ว บ้านเราลองชิมไส้อั่วยายปี๋กันแล้ว ลงความเห็นว่าชอบไส้อั่วเม็งรายมากกว่า)

ตอนกลางวันโจโจ้พาไปกินร้านอาหารเหนือในตัวเมืองลำพูน ชื่อร้าน "ดาวคะนอง" พวกเราว่าไม่ค่อยอร่อย แต่คุณโอ เจ้าของร้านสุริยันจันทราบอกว่าร้านนี้น่ะเป็นร้านที่อร่อยมากร้านนึงเลยเชียว ...เราอาจจะสั่งไม่เป็นก็ได้เนอะ เราสั่งตับทอด (จานนี้น้องมิชอบ) รถด่วนทอด ไก่ทอด โจโจ้น่ะสิสั่งแกงคั่ว แกงผัดแห้งอะไรไม่รุหน้าตาเหมือนๆกันมาซะหลายจาน เหลือบานเลย


Search เจอ Blog นี้ที่เค้าไปกินดาวคะนองเหมือนกัน ถ่ายรูปมาน่ากินเชียว

กินเสร็จบ๊ายบายกับโจโจ้ เพราะเค้าจะกลับกรุงเทพตอนเย็นวันนี้แล้ว
อิ่มจากอาหารกลางวัน สมาชิกในรถไม่อยากเดินเที่ยวกันอีก นั่งโงกเงกกันไปในรถ เลยบอกคุณครรชิตให้พาเราไปกินเค้กอร่อยๆกันดีกว่า

รถตู้พาเรามุ่งหน้ากลับเชียงใหม่ ผ่านถนนที่มีต้นนายางสูงปรี๊ดสองข้างทาง ต้นโคนลำต้นมีผ้าสีเหลืองๆส้มๆผูกไว้ คุณครรชิตว่าเค้าบวชต้นไม้
ไปร้าน Bakery ชื่อ Love at First Bite สั่ง coconut cream pie (อร่อยสุดๆ!), chocolate cake อร่อยทุกอย่าง ทุกคนเลยกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อกลางวันกินไม่อร่อย
Chocolate Cake and Coconut Cream Pie
Volcano Cake
Lemon Cheese Bar
หลังจากกินหนม น้องมิขอแวะกลับโรงแรม เพราะหา i-phone ของเค้าไม่เจอ i-phone เครื่องนี้ของน้องมิเค้าใช้ถ่ายรูปอย่างเดียว ไม่ได้ใส่ sim card เราเลยลองโทรหาไม่ได้ (และหาไม่เจออีกเลย โทร.ถาม Bangkok Airways ให้ช่วยเช็คทั้งในเครื่องบิน ใน Passenger Lounge ที่กรุงเทพ โทร.หา Airport Taxi ของเชียงใหม่ให้ช่วยเช็ค ก็ไม่เจอ) ป้าเจื้อยคิดว่าคงไปลืมที่ Lounge ที่สุวรรณภูมิเป็นแน่ แล้วคงมีคนหยิบเอาไปแล้วล่ะ ส่วนน้องมิคิดว่าทิ้งไว้ในกระเป๋าถือ และเอาวางไว้ในห้องพักไม่ได้เอาไปกินโจ๊กด้วยเมื่อคืน และระหว่างนั้นมีพนักงานโรงแรมเข้ามาวางเตียงเสริมในห้องเค้าด้วย
แต่เราไม่คิดว่าพนักงาน เพราะพี่เจื้อยไม่ได้เอากระเป๋าถือไปเหมือนกัน เงินพี่เจื้อยในกระเป๋าถือก็อยู่ครบ ทั้งที่หลายตังค์อยู่
จำไว้เป็นบทเรียนแล้วกัน ว่ายังไงก็อย่าทิ้งของมีค่าเอาไว้ เพราะโรงแรมเค้ามีติดป้ายไว้ในห้องอยู่แล้ว ว่าอย่าทิ้งของมีค่าไว้ในห้อง ถ้าหายไปทางโรงแรมไม่รับผิดชอบ

ตอนเย็นหลังจากหา i-phone ไม่เจอ เราตัดใจไปเที่ยวกันต่อ ไปพระธาตุดอยสุเทพ ขึ้นไปถึงพระธาตุ เจื้อยกับแม่ลงรถ เมารถจะเป็นลมทั้งคู่เลย เพราะทางขึ้นเขาวนเวียนซ้ายทีขวาทีตลอดทาง ต้องนั่งพักกันอยู่นาน กว่าจะดีขึ้น และเดี๋ยวนี้ดีมีลิฟท์โดยสารขึ้นไปถึงพระธาตุเลย แม่เลยได้ขึ้นไปไหว้พระธาตุด้วย

น้องก๊าบแจ้งความประสงค์ว่าวันต่อๆไปไม่ขอไปวัดอีกแล้ว เพราะวัดแรกวันเดียวซัดไป 4 วัด ..เด็กพวกนี้ห่างไกลศาสนาจริง น้าจ้อยอยากไปพระพุทธบาทสี่รอยอีกด้วยอ่ะ อดไปเรยเรา :(

มื้อเย็นไปข้าวต้มย้ง (คุณโอ-สุริยันจันทราแนะนำให้ไปกิน) ตรงไปสุดถนนนิมมานเหมินทร์ และเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุเทพ ไปกลับรถมา ไม่ไกลจากกาดพยอม อาหารถูกปาก ราคาถูกใจ กินเสร็จต้องรีบกลับโรงแรม เพื่อไปดูบอล เพราะน้องก๊าบกับคนขับรถตู้ติดตามดูบอลโลกกันอยู่ แต่ก่อนกลับโรงแรม เราขอแวะกินไอติม iberry กันอีกคนละลูกสองลูก

พรุ่งนี้รถตู้จะมารับพวกเราไปหาน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋กินเป็นอาหารเช้าแทนอาหารในโรงแรม นัดกัน 8 โมงยี่สิบ

คืนนี้ต้องรีบไปนอนก่อน..(อ่านตอนต่อไปที่ เชียงใหม่ไดอารี่ ปี 53 (3))


ร้านดาวคะนอง
340 เจริญราษฏร์ ในเมือง เมืองลำพูน ลำพูน 51000
โทรศัพท์: 053-511-552
การเดินทาง: จากตัวเมืองลำพูน ใช้ถนนเจริญราษฎร์ จะเห็นร้านดาวคะนอง ตั้งอยู่ใกล้ปั๊มน้ำมันเชลล์

ร้านข้าวต้มย้ง
ที่ตั้ง : 257/5 ถ. สุเทพ ต. สุเทพ อ. เมือง จ. เชียงใหม่
โทรศัพท์ : 0 5327 7942, 08 1951 6940
เปิดบริการ : เปิด 17.00 น. – 02.00 น.


Love at First Bite
http://www.loveatfirstbite.co.th/
ใกล้สะพานนวรัฐ
28 Chiangmai-Lamphun Rd., Soi 1 T.Watgate A.Mueng Chiangmai 50000
Tel: 053-242-731, Fax: 053-244-910
Mobile: 081-472-5059