Sunday, October 9, 2011

ขม้ำเกินพอดี ที่ Sushi Masa

เมื่อการเผชิญหน้ากับโจเกิดขึ้นที่ร้านอาหาร สิ่งที่ตามคือ อาการท้องอืด!

ด้วยการสั่งอาหารแบบ “จัดเต็ม!” และ “จัดอย่างดีมา!” ของโจ ทำให้มื้อนี้เรา 4 คน รับประทานกันไปจำนวน 8,300 บาท!! (คนอื่นอาจว่าจิ๊บๆ แต่สำหรับเราเกือบหน้ามืด)
ไหนว่าร้านนี้ถูกกว่าร้าน Miyatake ไงอ่ะ ฮือๆๆ

ที่ลองมากินร้านนี้กัน ก็เพราะเคยอ่านจากกระทู้ใน pantip ห้องก้นครัวว่า เชฟที่เคยอยู่ร้าน Miyatake คนหนึ่งลาออกมาเปิดร้านซูชิของตัวเอง ที่ซอยพญานาค ซอยที่อยู่ข้างๆโรงแรมเอเชีย รูปถ่ายในกระทู้ก็ช่างชวนให้น้ำลายสอ ปลาสีสดๆชิ้นตู้มๆ

อ่านกระทู้กระตุ้นต่อมน้ำลายที่นี่ ++ Sushi Masa ++

เราส่ง link ต่อไปให้ป้าแจ้วและญาติมิตรดู ป้าแจ้วแกว่องไวมาก ตามลายแทงมากินทันที และยังมากินหลังจากนั้นอีกหลายรอบ โฆษณาว่าปลาส๊ดสดและให้ชิ้นใหญ่ยักษ์ยิ่งกว่าที่ Miyatake ราคาก็ถูกกว่า อย่างเช่นซูชิ Engawa หรือครีบปลาตาเดียวเอามาพ่นไฟพอให้มีรอยไหม้ๆ ที่ Miyataka คำละ 150 บาท ที่นี่ 120 บาท เป็นต้น และเล่าว่าพาใครไปกิน ก็ติดใจไปตามกัน

พอดีกับที่โจเกิดอาการอยากกินปลาดิบมาหลายวันแล้ว เลยลองโทร.มาถามที่ร้านว่ามีโต๊ะว่างรึเปล่า ก็เกิดจะมีโต๊ะว่างพอดี๊ พวกเราเลยขึ้น BTS มาลงที่สถานีราชเทวี เดินเข้าซอยพญานาคไปไม่ไกล ร้าน Sushi Maza อยู่หน้าโรงแรม Siam Savanna ฝั่งขวามือของซอย (ด้านหน้าโรงแรมมีที่จอดรถตั้งหลายคันแน่ะ ขับรถมาก็ได้นะเนี่ย)

ร้านเป็นผนังกระจกโปร่งโล่งดี มีโต๊ะขนาด 4 คนนั่งอยู่หลายโต๊ะ ด้านในมี counter bar ยาว นั่งดูเชฟทำซูชิได้

มากินร้านซูชิ ก็นึกว่าจะกินซูชิ กะจะกิน Engawa ซักหน่อย
แต่โจถามหาเมนู Sashimi ชี้ไปที่รูป o-toro ที่เป็นปลาดิบที่แพงที่สุดของร้านทันที

น้องพนักงานก็ดีมาก นำเสนอปลาดิบชนิด o-toro เป็นชนิดชิ้นปลาก้อนเท่าฝ่ามือ มากันทั้งเนื้อทั้งหนังครบ ห่อ plastic wrap เอามาให้ดูที่โต๊ะเลย

พี่นุทำหน้าสยองเล็กน้อย กระซิบว่าเค้าเอาส่วนที่ไม่ดีมาขายเรารึเปล่า ทำไมเหมือนเนื้อหมูสามชั้นเลยล่ะ

พวกเราแก้ตัวแทนร้านว่าไม่หรอก ปลาดีมันเป็นอย่างนี้แหล่ะ มีมันแทรก

น้องพนักงานเห็นเราลังเลใจยังไม่ฟันธง จึงรีบเสริมว่าสั่งอย่างนี้คุ้มกว่าสั่งเป็น sashimi นะครับพี่ ปลาก้อนนี้ทำอาหารให้พี่ๆกินได้ตั้ง 3 เมนูเลยน๊า
ฟังโฆษณาเป็นไม่ได้ เรารีบโอเคทันที

ไอ้ก้อนปลาที่ว่านี้น่ะ 3,800 บาทจ้ะ!

โจบอกว่าชั้นลดความอ้วน ชั้นงดแป้งมื้อเย็น ไม่กินข้าว จงเอาปลาดิบรวมมาอีกจาน แต่ไม่ต้องเอา o-toro แล้ว เพราะเรามีแล้ว 1 ก้อน (แง๊! จะไม่กิน sushi ให้หนักท้องเร็วๆมั่งเลยเหรอเนี่ย)

น้องพนักงานแสนน่ารักบอกว่างั้นให้เชฟจัดมาเลยนะครับ จะจัดมาให้หลายๆอย่าง ให้ลองชิมกัน จัดมาเลยจ้าน้อง
มีออร์เดิฟเป็นถั่ววาซาบิมาให้เคี้ยวเล่น ระหว่างให้เรานั่งรออาหารด้วยความตื่นเต้น

ถั่ววาซาบิแสนอร่อย
อาหารจากก้อน o-toro มาแว้ววว ..
จานแรกเป็น sushi หน้า o-toro คนละชิ้น เรากินกันอย่างชื่นมื่นมาก เสียงอร่อยๆๆๆเซ็งแซ่ (จากเรา 3 คนนะ ไม่ได้ยินเสียงจากลุงนุ) 
หม่ำๆๆ O-toro Sushi
จานต่อมาเอามาทำเป็น Sushi
อึ๋ยยย นี่มันเนื้อปลารึว่าหมูสามชั้นกันแน่
ลุงนุเริ่มบ่นว่าปลาทำไมชิ้นใหญ่อย่างนี้ ทำไมมันมันเยอะอย่างนี้

Sushi นี่เชฟจัดมาให้คนละ 2 คำ – หั่นมาชิ้นใหญ่จริงๆ คำแรกง่ำเข้าไปแบบเต็มปากเต็มคำ ยังร้องอร่อยๆๆ อยู่

คำที่สองเริ่มต้องกัดครึ่ง เพราะชิ้นมันชักจะใหญ่เกิน

ระหว่างกิน sashimi ได้กลิ่นกุ้งเผาลอยมาจาก counter ครัว เราก็บ่นกัน “อยากกินกุ้งเผา”

ไม่ทันขาดคำ จาน sashimi รวมมาวางตรงหน้า
ไอ้กลิ่นกุ้งเผา มาจากหัวกุ้ง sashimi ในจานนี้นี่เอง เค้าเผาไฟมาเฉพาะส่วนหัวกุ้ง

ส่วนตัวกุ้งนอนมาเป็น sashimi ตัวเบ้อเริ่ม

ในจาน sashimi รวมนี้ประกอบด้วย อะไรโทโร่จำชื่อข้างหน้าไม่ได้อีกแระ เป็นส่วนที่แพงรองลงมาจาก o-toro แต่ละชิ้นใหญ่ยาวมากกก! (ฝั่งข้างบนหัวกุ้ง) แล้วก็มี Salmon มันปลาเป็นลายสวยเลย ซาบะดอง (ของโปรด) ปลาเนื้อแดงๆ (ละม้ายเนื้อวัว) แล้วก็ปลาอะไรไม่รู้(อีกแล้ว)เนื้อขาวๆ (ฮามาจิรึป่าวหว่า) แล้วก็กุ้งตัวเบ้อเริ่ม เนื้อมันวาวเชียว Sashimi แต่ละชนิด ให้มาอย่างละ 4 ชิ้น

แรกๆ ปลาชิ้นนึงต้องกัดแบ่งใส่ปากเป็น 2 คำ หลังๆเริ่มกัดแบ่ง 3 คำแล้ว เชฟจะหั่นชิ้นใหญ่ไปไหนกั๊น

นี่สภาพหลังจากกัดไปคำใหญ่แล้วนะ ยังเหลือกินได้อีก 2 คำ
 Sashimi ยังไม่ทันหมด Rainbow Roll มาวางอีกจาน ในจานมี 8 ชิ้นยักษ์
ใส่มายองเนสมาซะไส้เยิ้มเชียว

ปากดีชั้นกว้างมากแล้ว ยังขม้ำเข้าไปได้ไม่หมดคำเลย

ถึงตอนนี้เริ่มเลี่ยนปลาดิบแล้วอ่ะ ขอเติมขิงดองแก้เลี่ยนแบบขอเค้าเพิ่มแล้วขอเพิ่มอีก

0-toro จานที่สาม คือเอาส่วนหนังติดกับเอ็นมาหั่นเล็กๆ แล้วเผาไฟ เอามาทำยำ (รสชาติยำเหมือนที่ Miyatake เรย) เราจิ้มกับคนละหนุบหนับ ..แก้เลี่ยน

แน่ใจนะว่าไม่ได้เอาเอ็นเนื้อมายำให้พวกพี่กิน?
น้องพนักงานเดินมาถามว่าอาหารอร่อยมั้ย ยายพันตอบเสียงใสว่าอร่อยมาก หยั่งกะกินสัตว์น้ำไปทั้งมหาสมุทร ท้องพี่น่ะเป็น Ocean World ไปแล้วจ้ะ
น้องชวนคุยต่อว่า Recommended Menu ของร้านนอกจาก O-toro ก็เป็น Foie Gras Sushi -ซูชิหน้าตับห่าน (ว้าย ตับห่านของโปรดอีกแล้ว)
โจว่าอยากจะลองซักอัน น้าพันก็เอาด้วย น้าจ้อยเอามั่ง จะได้กินของสุกมั่ง กินแต่ของดิบมาซะทุกจาน
แต่ลุงนุส่งเสียงอย่างมั่นใจ “เราไม่เอาแล้วนะ!”

Recommended Menu นี้เค้าอร่อยจริง Foie Gra ชิ้นอวบอ้วน โจบรรยายว่ากัดเข้าไป(ไข)มันแตกพุ่งเต็มกระพุ้งแก้ม

หลังจาก Foie Gra Sushi หมดคำ (คำใหญ่ซะต้องแบ่งกัดเป็น 2 คำน่ะ) น้าจ้อยหันกลับมาที่จาน Sashimi เพื่อละเลียดปลาดิบต่อ

ฮือๆ โควต้าเรายังกินไม่ครบเลย อยากลองกุ้งนะ เพราะจำได้ว่าตอนไปตลาดปลา Tsukiji ที่โตเกียว กิน Sushi กุ้งสด หวานอร่อยน้ำตาแทบไหลเลยเชียว น้าจ้อยเลยยกปลาดิบที่ไม่รู้ปลาอะไร (รู้แต่ชิ้นมันใหญ่มั่ก ต้องม้วนมาเลย) ให้คนที่ยังกินปลาดิบไหวกิน แล้วก็ Rainbow Roll อีกชิ้นด้วย (ไม่รู้ใครกิน เงยหน้ามาอีกทีอาหารหายไปหมดแล้ว)

ลองเอากุ้งจิ้มน้ำยำหนังปลา o-toro เผื่อจะให้หายมันเลี่ยนมั่ง ปรากฏว่าพอจุ่มกุ้งลงไปน้ำมันแผ่กระจายเต็มน้ำยำ (ในใจเริ่มผะอืดผะอมมาตั้งแต่กินปลาดิบชิ้นแดงๆแล้ว เพราะดันไปนึกถึงเนื้อวัวดิบ แต่ต้องกินกุ้งเข้าไปให้หมดตัวด้วยความเสียดาย ใครเค้าจะกล้ากินต่อเรา)

กินกุ้งดิบหมดตัว ไม่ไหวแล้ว ขอซุปร้อนๆซักคนละชามซิจ๊ะ ...ค่อยยังชั่วหายเลี่ยนไปหน่อย (ซุปนี่ก็รสชาติเดียวกับที่ Miyatake ละ)

คุยโน่นคุยนี่กันซักพัก เรียกน้องเช็คบิล ยังคิกคักทายกันใหญ่ว่ามื้อนี้เท่าไหร่ โดยเรารู้ราคา otoro ว่า 3,800 กับ Foie Gra Sushi คำละ 280 บาท ทายกันว่าน่าจะไม่เกิน 6 พัน

เลขที่ออกคือตัวเลขที่บอกตอนต้นนั่นเอง

จ๊าก!! Sashimi รวมจานละ 3,300 ! แพงเกือบเท่า o-toro แน่ะ ปลาอะไรแพงวะเนี่ย Salmon กับซาบะดองก็ไม่น่าจะเกินชิ้นละ 50 บาท สงสัยจะไอ้กุ้งยักษ์มันแผล่บนี่แน่เลย

เชฟถึงกะขอชื่อและเบอร์โทรศัพท์พวกเราเลยล่ะ นี่ถ้าไม่ส่งบัตรลดราคามาให้ โจบอกมีโกรธ (ยังจะมากินอีกใช่มั้ย)

หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อย น้าจ้อยเกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อยไปสามวัน ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะกินของดิบเยอะเกินไป หรือว่าเกิดจากเห็นราคาอาหารก็ไม่รู้ แง!

Sushi Masa โรงแรม Siam Savanna ซอยพญานาค (BTS สถานีราชเทวี)
ทร. 02-215-9289

Thursday, September 29, 2011

สุดสัปดาห์ @เขาใหญ่

เป็นประจำกับการไปซื้อ Voucher ที่พักโรงแรมจากงานท่องเที่ยวทั่วไทย แล้ว Voucher จะหมดอายุสิ้นเดือนกันยายน เราจึงต้องรีบจองห้องพักที่ "ชาโต เดอ เขาใหญ่" ในวันสุดสัปดาห์เกือบสุดท้ายของเดือนกันยายนนี่ละ

ออกเดินทางจากกรุงเทพสิบโมงกว่าแล้ว แวะเติมน้ำมันเต็มถังที่ปั๊มปตท.บ่อนไก่ ก่อนขึ้นทางด่วนขั้น 1 ไปลงดินแดง แล้วต่อดอนเมืองโทลเวย์ยาวไปลงสุดทางเลย ป้าเจื้อยขับเพลินไปหน่อย ถึงด่านจ่ายเงินก่อนลงโทลเวย์ เจอตำรวจยืนจังก้าขวางหน้ารถเลยวุ้ย ถามว่ารู้มั้ยว่าขับมาเท่าไหร่ ป้าบอกไม่ทราบค่ะ ตำรวจบอก 133 (ป้าคิดในใจว่าชั้นขับเร็วกว่านั้นอีกย่ะ) จ่ายค่าปรับไปตามระเบียบ

จากถนนมิตรภาพ เลี้ยวเข้าถนนธนะรัชต์ ประมาณกิโลเมตรที่ 3 จะมีร้าน “บ้านสวนฝรั่ง” ที่ป้าเจื้อยเคยซื้อน้ำฝรั่งและฝรั่งสดอร่อยๆกิน แต่คราวนี้เราขอผ่านไปก่อน

ประมาณกิโลเมตรที่ 10 น้องก๊าบบอกว่าจำได้ว่าเลี้ยวโค้งขวาแล้วเลยไปหน่อย ก็จะถึงร้าน “ครัวเขาใหญ่” ละ ถึงครัวเขาใหญ่จุดหมายแรกของเราในวันนี้ตอนเที่ยงครึ่ง คราวนี้คนไม่เยอะเหมือนตอนที่เราพาพ่อมากินปีที่แล้ว

ตอนออกจากกรุงเทพ โทร.มาจองโต๊ะ คุณลุงหนุ่ยรับสายบอกว่าไม่ต้องจองหรอก แต่ให้โทร.หาคุณลุงหนุ่ยก่อนจะมาถึงร้านประมาณครึ่งชั่วโมง คุณลุงหนุ่ยจัดโต๊ะหน้า Cashier ให้

อาหารที่ทุกคนตั้งใจมากิน คือ แฮมซี่โครง ซี่โครงอ่อนจะติดมัน ซี่โครงแก่ไม่มีมัน อร่อยทั้งสองอย่าง
จานนี้น่าจะซี่โครงอ่อน เพราะมันเยอะเชียว (อร่อย!)
สั่งแกงป่า ไข่เจียวปลาเค็ม แล้วก็ผัดวุ้นเส้นฟองเต้าหู้ญี่ปุ่น
แกงป่าไก่ (หน่อไม้อ่อนๆน้อยไปหน่อย มีแต่มะเขือ)
ไข่เจียวปลาเค็ม
ผัดวุ้นเส้นกับฟองเต้าหู้ญี่ปุ่น

สั่งปลาเนื้ออ่อนทอดกรอบไปด้วยแหล่ะ ดีนะที่เค้าไม่ได้จดออร์เด้อร์ไป แค่นี้ก็จะกินไม่หมดแล้ว

กินทุกอย่างแล้วทุกคนลงความเห็นเหมือนเดิมว่าแฮมซี่โครงอร่อยที่สุด!

เคยสั่งฟองเต้าหู้ญี่ปุ่นทอด (60 บาท) มันอมน้ำมันมากไป

ฟองเต้าหู้ญี่ปุ่นทอด ที่เคยสั่งคราวก่อน

ไข่เจียวปลาเค็มที่สั่งวันนี้ก็เหมือนกัน ยิ่งกินยิ่งรู้สึกว่าน้ำมันเยอะจัง

คุณยายสั่งไอติมกะทิทรงเครื่อง คุณยายสั่งไปแล้วน้าจ้อยนึกได้ว่าถ้าเป็นเจ้าที่มาเช่าที่ของร้านนี้ขาย ที่คราวก่อนเราเคยสั่งมากินมันไม่อร่อย ซึ่งคราวนี้ก็ยังไม่อร่อยอยู่ดี คุณยายลมเสีย บอกว่าทำไมไม่บอกกันก่อน (ก็ตอนแรกมันลืมน่ะค่ะ)

แต่มะพร้าวเผาลูกละ 20 บาทที่ขายตรงที่จอดรถหอมหวานอร่อยมาก ป้าเจื้อยซัดไป 2 ลูก
ป้าเจื้อยสาธิตการลอกเนื้อมะพร้าวออกจากเปลือกโดยไม่ขาด
วันนี้สั่งน้ำองุ่นยี่ห้อ Max.. อะไรซักอย่าง ชิมดูรสคล้ายไวน์มากกว่า คุณลุงหนุ่ยเปลี่ยนใหม่ให้ เราเลยขอเป็นยี่ห้อ Granmonte แทน ไม่กล้าสั่งยี่ห้อเดิม คราวนี้ค่อยเป็นน้ำองุ่นรสชาติคุ้นเคยหน่อย
กลายเป็นไวน์ไปซะแระน้ำองุ่น
น้องก๊าบสั่ง Strawberry Short Cake ที่อยู่ในตู้เค้กหน้าร้านมากิน 1 ชิ้น ราคา 85 บาทแน่ะ ราคาพอๆกับที่กรุงเทพ ถามชายหนุ่ม(ยังเด็กๆอยู่เลย)คนขาย เล่าว่าเค้าทำกับพี่สาว ไปเรียนมาจากที่กรุงเทพ คือเค้าก็เป็นคนกรุงเทพน่ะแหล่ะ มาเช่าที่หน้าร้านครัวเขาใหญ่ขาย มาเขาใหญ่ตั้งแต่เมื่อคืน และเร็วๆนี้จะเปิดเป็นร้านเค้ก มีชา-กาแฟขายด้วย ที่ Paradise Park ชื่อร้าน “Piece of Cake” นี่เค้าก็ทำเค้กมาจากกรุงเทพ (อุ้ย - เค้กก็ค้างคืนมาแล้วดิเนี่ย)
มุงดูขนมเค้กในตู้แช่
เค้กหน้าตาดี
เจ้าของร้านบอกว่า Signature Cake ของร้าน คือ Strawberry Short Cake กับ Coconut Cake (75 บาท)
เราซื้อกลับมากินต่อที่โรงแรม น้องเค้าลืมใส่กระปุก Strawberry Sauce สำหรับ Short Cake มาให้ด้วย เลยอดชิม Sauce เลยเรา น้าจ้อยกิน Coconut Cake เนื้อเค้กกับมะพร้าวอ่อนนุ่มนิ่มดี (แต่มีกลิ่นใบเตยหรือกลิ่นอะไรแรงไปนิดนึง) ครีมก็เป็น Whipped Cream ฟูๆเบาๆ ไม่เลี่ยน
2 Signature Cake ของร้าน
ชาโต เดอ เขาใหญ่ (Chateau de Khaoyai)
Voucher ที่พักที่เราซื้อมาจากงานไทยเที่ยวไทยเมื่อเดือนมีนาที่ผ่านมา เป็นห้อง Standard ราคาห้องพักรวมอาหารเช้า ห้องละประมาณพันเจ็ด

จากสามแยกที่จะขึ้นเขาใหญ่ เราเลี้ยวซ้ายมาตามถนนที่ไปทะลุออกวังน้ำเขียวได้ ประมาณกิโลเมตรที่ 7 จะเป็น Kirimaya วิ่งต่อไปอีก 2 กิโลกว่าก็จะถึง ชาโต เดอ เขาใหญ่ ที่หมายของเรา

ตอนเช็คอิน เจอกองถ่ายละครช่อง 3 เรื่องสามหนุ่มเนื้อทองตรงหน้า Lobby ด้วย ถูกใจคนบ้าดาราอย่างพวกเรา (ป้ากะน้า) จริงๆ มีคิมเบอร์ลี่กะน้องหมากและพระเอกใหม่อีกคน (ป้าไม่รู้จัก) เข้าฉากกันอยู่

เราได้พักที่ตึก Monet House เป็นตึกสองชั้นสีชมพู หน้าต่างสีเขียวเข้ม ใกล้กันเป็นบ้านหลังใหญ่สีฟ้า 2 ชั้น ชื่อ Victoria House ถามจากคุณพ่อบ้านที่ดูแลตึก คุณพ่อบ้านบอกว่าบ้าน Victoria House มีห้องพักทั้งหมด 7 ห้อง ถ้าเหมาทั้งตึกเราก็สามารถใช้ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องกินข้าวได้เป็นส่วนตัวของเราเลย (น่าไปพักๆ)

ตึกสีฟ้าด้านหลังคือ Victoria House
ห้องพัก Standard ของเราห้องเล็กไปหน่อย ออกจะเก่าด้วย หลานสาวบ่นอีกแล้วว่าแมลงก็เยอะ ห้องน้ำก็เก่า - ชิ!
เตียงนอนขนาดเล็กไปหน่อย (3 ฟุต)
จากหน้าต่างห้องพัก มองเห็นทิวเขา
เข้าห้องพักเก็บของเรียบร้อย พวกเราก็ทิ้งคุณยายให้นอนดู TV ในห้อง แล้วเราก็ขับรถไป Palio

จำไว้ว่า Palio อยู่ติดจุลดิศ แล้วเราก็จะไม่ขับรถเลยที่หมาย

ที่จอดรถก็ไม่เต็มนะ หรือว่าเสาร์อาทิตย์นี้ไม่ใช่ Long Weekend คนเลยไม่เยอะเท่าไหร่

เดินมาเจอ Jim Thompson Farm เห็นกระเป๋าผ้าฝ้ายหูหิ้วสั้นๆ กะจะซื้อไว้ใส่กระเป๋าตังค์เวลาไปกินข้าวกลางวัน ดูราคาแล้วตกกะใจ ตั้ง 650 บาทแน่ะ ม่ายอาวดีกว่า..

ป้าเจื้อยพาไปกิน Vampire Snow Ice ใส่ topping อย่างเดียว 59 บาท สองอย่าง 69 บาท อร่อยๆ


บ่ายสามโมงตรง ทาง Palio มีเดินแฟชั่นแฟนซีหน้ากากประกอบดนตรี หลังจากนั้นเหล่าแฟนซีหน้ากากก็เดินลงมาให้คนมาเที่ยวถ่ายรูปด้วย


ฝนเริ่มตก เราเลยเดินไปนั่งกินอะไรร้อนๆ (ยังกินไม่เลิก) ที่ร้านกาแฟ Azure
ลาเต้เย็น กับ ชอคโกแล็ตร้อน

เค้กที่นี่อร่อยดี น้องมิชอบ Carrot Cake ของที่นี่มาก Macadamia Chocolate ก็อร่อย เค้ารับมาจากร้านเค้กในกรุงเทพอีกที (ทำให้สงสัยว่าที่เขาใหญ่ไม่มีคนทำเค้กอร่อยเด็ดบ้างเลยเหรอ ทำไมต้องทำเค้กมาจากกรุงเทพกันทั้งนั้น) เห็นว่าจากร้าน Sugaroma

ฝนตกจั้กๆๆ นักท่องเที่ยวหายหมด (คงแยกย้ายไปนั่งกันตามร้านกาแฟหลบฝน) ซัก 5 โมงเย็น ฝนซา เราเดินไปเข้าห้องน้ำ คนหายเกลี้ยงจริงๆ เห็นแล้วสงสารร้านค้าในนี้จัง วันนี้เป็นวันเสาร์น่าจะได้เป็นวันทำเงินของเค้า ฝนก็มาตกซะเกือบ 2 ชั่วโมง

ได้เวลาห้าโมงเย็นกว่าๆ เรากลับโรงแรม จะได้รับคุณยายออกมากินอาหารเย็น

ออกจากโรงแรมหกโมงครึ่ง ฟ้ามืดแล้ว ถนนจากโรงแรมออกมาธนะรัชต์มืดตึ๊ดตื๋อ ฝนก็ตก เข้าถนนธนะรัชต์ค่อยยังชั่ว พอมีแสงไฟหน่อย

เราลองมากินที่ร้าน The Smoke House กัน ร้านอยู่ติดๆกับโรงเรียนนานาชาติ St. Stephen’s ค่อนมาทางต้นๆถนนธนะรัชต์ ช่วงกิโลเมตรที่ 6.5
คุณยายต้องปีนบันไดอีกแล้ว เดินเข้าไปในร้านตกกะใจอีก คนรอเยอะเชียว พวกเราได้คิวที่ 4 ระหว่างรอเดินดู Section ที่เค้าขายอาหารแก้เบื่อ มีทั้งขนมปัง ครัวซองต์ (อร่อยมากๆ แต่ราคาชิ้นละ 65 บาท!) คุ้กกี้ น้ำผึ้ง Olive Oil, Balsamic Vinegar ไส้กรอก ผักปลอดสาร องุ่นไร้เมล็ด ลูกพลับ ไวน์ก็มี มีป้าย Wine Connection ปักอยู่

ส่วนตู้เค้กก็มีเค้กหน้าตาน่ากินหลายอย่าง มี Macaron ด้วย

ที่นี่อาหารอร่อยแฮะ คุณยายชอบ (ตอนแรกพวกเรานึกว่าคุณยายจะลมบ่จอย บอกว่าไม่อร่อยซะแล้ว) บอกว่าน้ำส้มคั้นเย็นเจี๊ยบอร่อยมาก

แต่เจ้ามิน่ะสิ สั่ง Gin Tonic แก้วละ 195 บาท! แล้วจิบไปอึกเดียว หนอยๆ (เสียดายเงิน)

Pizza Parma Ham อร่อยๆ ใส่ Parma Ham มาให้เต็มที่
จานนี้ขาหมูรมควัน

ไส้กรอกรวม ขาหมู ก็ดี แต่น้าจ้อยชอบขนมปังอุ่นร้อนๆ ที่เค้าให้โต๊ะละตะกร้าเล็กๆที่สุด (ไม่ย้อม ถ้ามาสองคนก็ได้ตะกร้าเท่ากันรึเปล่า พอเราติดใจสั่งเพิ่ม คิดตังค์เราด้วยง่ะ) เนยครีมที่ให้มาทาขนมปังก็อร่อยจริงๆ

บรรยากาศสวยงามยามเช้า (อันที่จริงสายแล้ว)
เช้าวันรุ่งขึ้น ตื่นกันสบายๆ เรียกรถรับส่งแขกโรงแรมมารับไปกินอาหารเช้าที่บ้านหลังที่เป็นห้องอาหารของโรงแรม สถานที่ไม่สวยงามเอาซะเลย นั่งกันอย่างกับงานเลี้ยงโต๊ะจีนนครปฐมผสมโรงอาหาร นั่งโต๊ะกลมโต๊ะละ 10 คน เราต้องไปนั่งกับคนไม่รู้จัก อาหารก็มีไม่กี่อย่าง เรากินขนมปังปิ้งกับไข่ดาวและแฮม ทำเป็น Sandwich ไปเลย ปาท่องโก๋นมข้นก็มี เอาปาท่องโก๋ไปอุ่นด้วยเครื่องปิ้งขนมปัง ออกมาค่อยกรอบอร่อยขึ้นหน่อย
มีตู้กาแฟให้กด เลือกได้ว่าจะกิน Espresso, Latte, ชานม, … สนุกดี

Check-out ตอน 10โมง เพราะป้าเจื้อยมีภารกิจที่กรุงเทพ จะได้ถึงกรุงเทพไม่ช้าเกินไป

ป้าเจื้อยบอกว่าแถวๆตรงข้ามจุลดิศ มีน้อยหน่าอร่อยมาก(คุณยายคอนเฟิร์ม จากที่ป้าเจื้อยซื้อไปฝากคราวที่แล้ว) แต่วันนี้ร้านนี้ไม่มาขาย เดาว่าหยุดวันอาทิตย์ เลยซื้อแผงอื่นที่วางขายอยู่ริมถนนธนะรัชต์แทน มีแบบ 3 โลร้อย และแบบโลละ 40  กลับถึงกรุงเทพ คุณยายกินแล้วบอกว่าเค้าหลอกขายเราแน่เลย เราจะเอาน้อยหน่าเนื้อ นี่ให้น้อยหน่าหนังเรามาล่ะสิท่า

แวะศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ “ไร่สุวรรณ” ริมถนนมิตรภาพ จุดสังเกตคือผ่านฟาร์มโชคชัยมาไม่ไกล จะเห็นรั้วข้างบนโปร่งข้างล่างทึบ ส่วนที่ทึบทาสีแดง (ณ เดือนก.ย.54 - ไม่รู้ต่อไปจะทาสีอื่นรึเปล่า) หน้าประตูทางเข้ามีสัญลักษณ์ข้าวโพดฝักยักษ์ตั้งเด่นเป็นสง่า ร้านขายของ "Suwan Farm's Sweet Corn" มีผลิตภัณฑ์พืชผักขายเยอะดี ทั้งแบบสดๆ และแบบแปรรูปแล้ว ชาใบหม่อน(ไม่เห็นแบบซองๆ เลยไม่ได้ซื้อมา) มะตูมอบแห้ง (40 บาท) น้ำองุ่นแช่เย็น (ขวดละ 25 บาทเอง อร่อยเชียว) น้ำกีวี ผัก ผลไม้ มีน้ำมันมะพร้าวแบบเอาไว้ทาผิวชนิดชวดปั๊มด้วย ขวด 1 ลิตร 500 บาท ถูกกว่าที่กรุงเทพ

แคร้กเกอร์ไส้องุ่น ถุงละ 50 บาท (คุณยายบอกไม่อร่อย!)
ที่ขายดีสุดน่าจะเป็นน้ำข้าวโพด (คนยืนเข้าแถวรอกันอย่างเป็นระเบียบเชียว เอากล่องโฟมใบเบ้อเริ่มมาใส่น้ำข้าวโพดกลับบ้านด้วย – เราก็อยากชิมนะ แต่อดทนรอไม่ไหว) กับข้าวโพดต้มร้อนๆหวานกรอบอร่อย

เอาล่ะ ข้าวของเต็มท้ายรถแล้ว กลับกรุงเทพได้!

วันหลังพายายไปเที่ยวอีกนะจ๊ะ !
P.S. รูปถ่ายมุมมองเก๋ๆ เป็นฝีมือหลานกล้องหลานทั้งน้าน น้าขอยืมมาประกอบเรื่องหน่อยนะ แต๊งกิ้ว!

ครัวเขาใหญ่ โทร. 089-624-1937
The Smoke House (บ้านรมควัน) โทร. 044-365-222
Chateau de Khao Yai โทร. 044-929-929

Tuesday, September 27, 2011

โปรโมชั่นเครื่องดื่ม 1 แถม 1 & Lunch Set @TenFace Hotel – Bangkok

ขอนำเสนอ โปรโมชั่นเครื่องดื่ม ซื้อ 1 แถม 1 !! (ในราคาเท่ากันหรือต่ำกว่า) ที่โรงแรมใจกลางเมืองอีกแห่งค่ะ โปรโมชั่นนี้ยังมีไปเรื่อยๆ ไม่กำหนดวันหมดอายุ (ข้อมูล ณ วันที่ 27 กันยายน 2554)
โรงแรมนี้ตั้งอยู่สุดซอยร่วมฤดี 2 ย่านเพลินจิต ตัวโรงแรมเป็นตึกสีน้ำตาลเข้ม ชื่อว่า TenFace (ทศกัณฐ์นั่นเอง)


เดิม Noble Development เปิดตัวโครงการนี้เป็นคอนโดมิเนียม แต่ไปไงมาไงไม่รู้ กลายเป็นโรงแรมซะ (ดีแล้วล่ะ ไม่งั้นซอยนี้คงมีรถเข้าออกเยอะกว่านี้อีกมาก)

โรงแรม TenFace เปิดบริการมาสองสามปีเห็นจะได้ แต่เราไม่เคยเข้าไปใช้บริการซะที วันนี้เดินขึ้นๆลงๆดูบ้านจนเหนื่อยหอบ อากาศร้อนๆ เลยลองแวะเข้าไปหาอะไรเย็นๆดื่มซะหน่อย กะไปนั่งตากแอร์ให้หายร้อนด้วย

ออกจากลิฟท์ จะเห็น Lobby เล็กๆอยู่ตรงหน้า ถ้าเดินไปทางซ้ายจะเห็น Sita Bar มี DJ มาเปิดเพลง

เราไปตอน 5 โมงเย็นกว่าๆ ไม่มีลูกค้าเลย แต่ DJ ก็ดูง่วนกับการเลือกเพลงเชียว

ถ้าจาก Lobby แล้วเลี้ยวขวา จะเป็นห้องอาหารแห่งเดียวของโรงแรม เสิร์ฟอาหารทั้งช่วงเช้า กลางวัน และเย็น ตอนที่เราไปไม่มีลูกค้าอีกเช่นกัน


มีส่วนที่เป็น Outdoor ริมสระว่ายน้ำ (สระว่ายน้ำผ๊อมผอม) มีคนนั่งสูบบุหรี่ เราเลยเลือกนั่งห้องแอร์ด้านในดีกว่า



ไปกันสองคน สั่ง Iced Latte แก้วนึง 120++ และสั่ง Mango+Orange Smoothie 180++

เอบอกว่ากาแฟใช้ได้ แต่ Smoothie ที่สั่งไม่ค่อยอร่อยแฮะ ถ้าเป็นมะม่วงปั่นไปเลยคงอร่อยกว่านี้ อันนี้มีน้ำส้มผสมเหมือนใช้น้ำส้มกล่อง

แต่ที่เราดีใจกันมาก ก็เพราะว่าน้องพนักงานเดินมาบอกว่ามี Promotion เครื่องดื่ม ซื้อ 1 แก้ว แถม 1 แก้ว

น้องเค้าบอกว่าเป็น Promotion ที่มีตลอดเช้าสายบ่ายค่ำ จะนั่งกินที่ Sita Bar ก็มี Promotion นี้เหมือนกัน

ตอนแรกตกกะใจว่าต้องกินอีกคนละแก้วหรือไงเนี่ย แก้วที่สองน้องเค้าบอกว่าไม่จำเป็นต้องเหมือนแก้วแรก จะสั่งเครื่องดื่มอะไรก็ได้ เค้าจะคิดเงินแก้วที่ราคาสูงกว่า

ถามไปถามมา นึกขึ้นมาได้ว่างั้นที่เราสั่งมากิน 2 แก้ว เราก็จ่ายในราคา 1 แก้วได้น่ะสิ ฮ่าๆๆ

นอกจากนี้เราขอเมนูอาหารเค้ามาดูด้วย เผื่อวันหลังจะได้มาอุดหนุนเค้าซักหน่อย

ตอนเย็นเป็นเมนู A la carte ราคาประมาณ 300 บาทต่อจานขึ้นไป มีพวก Pasta, Pizza, อาหารไทยก็มี

แต่ Lunch Set Menu นี่สิที่น่าสนใจ ราคาเค้าเป็นดังนี้

2 Courses set @ 300 Baht Nett

3 Courses set @ 350 Baht Nett

4 Courses set @ 410 Baht Nett

มีชาหรือกาแฟรวมอยู่ใน Set ด้วย

โดยอาหารมีให้เลือก 4 กลุ่ม ได้แก่ Appetizer, Soup, Main Dish, และ Dessert (ถ้า 2 Courses ก็เลือกได้ 2 กลุ่มใน 4 กลุ่ม) แต่ละกลุ่มมีอาหารให้เลือก 4-5 เมนู

Soup ก็เช่น Lobster Bisque, Minestrone

Main Dish ที่อ่านแล้วน่ากิน คือปลาหิมะห่อ Parma Ham

ของหวาน เช่น Cheese Cake, Warm Chocolate Cake

ส่วนชา-กาแฟ น้องพนักงานบอกว่าเลือกทำเป็นเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นก็ได้

Lunch Set ที่นี่มีทุกวันไม่เว้นเสาร์-อาทิตย์

หากมีโอกาสน่ามาลองกินนะคะ (แล้วบอกกันด้วยว่าอร่อยรึปล่าว...)


TENFACE:
81 Soi Ruamrudi, Wireless Road, Bangkok 10330.
Tel. +662 695 4242


Update เพิ่มเติม วันที่ 28 Sep 2011:
น้าเอไปลองกิน 3 Courses Lunch Set มาแระ
ขออภัยภาพไม่ชัดเพราะใช้มือถือถ่ายมาให้ดู
เริ่มกันที่ Soft Shell Crab Salad
Latte เย็นหน้าตาดีเชียว (รวมอยู่ใน Set) และยังมีขนมปังให้ฟรีด้วย

ตามด้วย Lobster Bisque Soup

และ Main Dish เป็น Snow Fish & Parma Ham
 
ต้องหาโอกาสไปกินมั่งแล้วเรา ...

(หมายเหตุ - ขอบคุณเอสำหรับภาพถ่าย Lunch Set จ้า)

Tuesday, September 13, 2011

ไหว้พระ 9 วัด ในกรุงเทพฯ

ปีใหม่เวียนมา แล้วก็เวียนผ่านไป ปีนึงๆนี่ผ่านไปเร็วจริง เมื่อต้นปีที่แล้วเราไปไหว้พระเป็นสิริมงคลกัน(ช่วงต้นเดือนมีนาคม 2553) โดยไปไหว้พระ 9 วัด (จริงๆแล้วเป็น 7 วัด + 2 ศาล) ซึ่งพี่ๆหาทัวร์จัดไปกันเป็นส่วนตัว สมาชิกประกอบด้วยผู้ใหญ่ 8 และเด็ก 2

โปรแกรมนี้จัดโดยหนุ่มสาวทัวร์ มีรถตู้ใหม่เอี่ยม 1 คันพร้อมคนขับ และไกด์อีก 1 คน
เสิร์ฟอาหารเช้าด้วยในรถ (เสียใจ ทำไมมีแต่ขนมเค้กหวานๆและน้ำผลไม้ อยากกินแซนวิชกับกาแฟอ่ะ)
อาหารกลางวันเป็น Buffet ที่โรงแรม SD Avenue ฝั่งธนฯ สถานที่กว้างขวางนั่งสบายดี แต่แอร์หนาวมาก


เราเริ่มต้นการเดินทางเวลา 7 โมงเช้า สถานที่แรกที่ไปคือ (1) ศาลเจ้าพ่อเสือ ซึ่งเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ของลัทธิเต๋าที่ชาวจีนนิยมสักการะบูชาเพื่อ “เสริมอำนาจบารมี”
ไกด์เล่าให้ฟังเรื่องเจดีย์ทำจากน้ำตาลที่มีผู้นำมาถวายเจ้าพ่อ โดยมีความเชื่อว่าคู่สามีภรรยาที่ต้องการขอลูก จะต้องมาขโมยเจดีย์นี้ไป 1 อัน นำไปต้มกับฟักเอาน้ำไปดื่ม เมื่อสมปรารถนาแล้วคู่สามีภรรยาต้องนำเจดีย์มาถวายคืนจำนวน 2 อัน เพื่อให้ผู้ที่ต้องการลูกคู่อื่นๆมาขโมยกันต่อๆไป


นอกจากนี้ไกด์เล่าเรื่องการไหว้เจ้า โดยต้นปีคนจะนิยมไหว้ด้วยส้ม เสมือนว่าต้นปียังไม่ค่อยมีสตางค์ ระหว่างปีขยันขันแข็ง ทำมาค้าขึ้น ปลายปีจึงนำหมูเห็ดเป็ดไก่มาถวายอีกครั้งเพื่อเป็นการขอบคุณ
ปีนี้เป็นปีขาล คนไปสักการะเจ้าพ่อเสือเยอะมากๆ ตั้งแต่เช้า ยิ่งสายคนยิ่งมาก ควรใส่แว่นเพื่อป้องกันควันธูปเป็นอย่างยิ่ง


จากนั้น เรานั่งรถไปยัง (2) ศาลหลักเมือง สักการะหลักเมือง ไหว้พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าพ่อเจตคุปต์ เจ้าพ่อหอกลอง “ตัดเคราะห์ ต่อชะตา เสริมบารมี”
จากบทความ "ไหว้หลักเมือง เสริมหลักชัยให้กับชีวิต" ได้อธิบายถึงเทพารักษ์แต่ละองค์ไว้ว่า
“พระเสื้อเมือง มีหน้าที่คุ้มครองป้องกันทั้งทางบกและทางน้ำ คุมกำลังไพร่พลแสนยากร รักษาบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขปราศจากอริราชศัตรูมารุกราน
พระทรงเมือง มีหน้าที่รักษาการปกครองและกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ดูแลทุกข์สุขของประชาชนให้ร่มเย็นเป็นสุขสวัสดี
พระกาฬไชยศรี เป็นบริวารพระยมมีหน้าที่นำวิญญาณของมนุษย์ผู้ทำบาปไปสู่ยมโลก
เจ้าพ่อเจตคุปต์ เป็นบริวารพระยม มีหน้าที่จดความชั่วร้ายของชาวเมืองที่ตายไปและอ่านประวัติผู้ตายเสนอพระยม
เจ้าพ่อหอกลอง มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเหตุการณ์ต่างๆ อันเกิดขึ้นในแผ่นดิน เป็นต้นว่าคอยรักษาเวลาย่ำรุ่ง ย่ำค่ำ และเที่ยงคืน เกิดอัคคีภัย หรือมีข้าศึกศัตรูมาประชิดพระนคร”


เราเดินข้ามถนนไปยัง (3) วัดพระแก้ว หรือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม "ไหว้พระแก้วมรกต แก้วแหวนเงินทอง ไหลมาเทมา ตลอดปี"
เพิ่งรู้จากไกด์ว่า สองข้างขององค์พระแก้วมรกตมีพระพุทธรูปปางห้ามญาติอยู่เบื้องซ้าย และพระปางห้ามสมุทรอยู้ทางด้านขวา โดยเป็นตัวแทนรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่ารัชกาลต้นและรัชกาลกลาง (เอาไว้รอปุ๊ยมาแก้ไขเพิ่มเติมอีกที) พอถึงรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 จะใช้ว่ารัชกาลปลายดูไม่ค่อยไพเราะ จึงเปลี่ยนเป็นมาใช้รัชกาลที่ 1, 2, 3, ...แทน


วันนี้มีเวลาเหลือ ไกด์พาชมส่วนที่เป็นฐานไพที ซึ่งมีปราสาทเทพบิดร พระมณฑป และพระศรีรัตนเจดีย์
พระศรีรัตนเจดีย์นี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยจำลองแบบมาจากเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ ที่อยุธยา เจดีย์นี้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ องค์เจดีย์สีทองอร่ามจากการประดับกระเบื้องโมเสคจากประเทศอิตาลีในสมัยรัชกาลที่ 5




จากนั้นเราเดินทางไปนมัสการพระพุทธไสยาสน์ ที่ (4) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) "ไหว้พระนอนวัดโพธิ์ อยู่ดีกินดีตลอดปี"


ฝ่าพระบาททั้งสองข้างของพระนอน ประดับมุก ลวดลายภาพมงคล 108 ประการ


ข้อมูลจาก http://www.watpho.com/ อธิบายไว้ว่า "วัดโพธิ์ หรือนามทางราชการว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกและ เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดโพธารามวัดเก่า ที่เมืองบางกอก ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นวัดหลวง ข้างพระบรมมหาราชวัง และที่ใต้พระแท่นประดิษฐาน พระพุทธเทวปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์ท่านไว้ด้วย" การบูรณะปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์มีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 3 และครั้งฉลอง 200 ปีกรุงเทพมหานครในรัชสมัยรัชกาลที่ 9

วัดโพธิ์เปรียบเสมือนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย เนื่องจากเป็นที่รวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนวัดโพธิ์เป็นมรดกความทรงจำโลกเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551


หลังจากเดินเล่นดูสถาปัตยกรรมในวัดโพธิ์แล้ว เราเดินทางต่อไปไหว้พระศรีศากยมุนี (5) วัดสุทัศน์ “ไหว้พระวัดสุทัศน์ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่บุคคลทั่วไป”
วัดสุทัศน์สร้างขึ้นในบริเวณที่เชื่อกันว่าเป็นแกนกลางของจักรวาล คือศูนย์กลางของเกาะรัตนโกสินทร์
วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ 3 องค์ (ข้อมูลจากคุณไกด์) คือ
1. พระศรีศากยมุนี ประดิษฐานในวิหาร
2. พระแสดงปฐมเทศนาให้สาวก 80 องค์ ประดิษฐานในอุโบสถ (เป็นอุโบสถที่ยาวที่สุด คือมีความยาวถึง 11 ห้อง)
3. พระพุทธรูปอีกองค์ประดิษฐานอยู่ที่ศาลาการเปรียญ สร้างขึ้นจากกลักฝิ่น
วิหารและอุโบสถของวัดนี้ ตั้งอยู่ขวางกันเป็นลักษณะรูปตัว T

จาก http://www.watsuthat.thai2learn.com/ อธิบายไว้ว่า "วัดนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี โปรดเกล้าให้สถาปนาขึ้น แต่ทรงสร้างค้างไว้แต่เพียงรากพระวิหาร ถึงรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างใหม่ทั้งอาราม ในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฎิสังขรณ์เพิ่มเติมอีก
ส่วนมูลเหตุที่จะทรงสร้างวัดนี้ มีเรื่องราวปรากฏมาว่า “ เมื่อสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นมาเป็นราชธานีแล้ว ความมุ่งหมายที่จะทำนุบำรุงให้เหมือนกรุงศรีอยุธยาเดิม ด้วยนับถือกันว่า ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเป็นสมัยที่บ้านเมืองรุ่งเรือง เรียกกันว่า “ ครั้งบ้านเมืองดี ” รั้ววังวัดวาที่สร้างขึ้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ก็มักถ่ายแบบมาจากกรุงศรีอยุธยา ยกตัวอย่างเช่นที่สร้างวัดสุทัศน์ฯ เป็นที่ประดิษฐานพระโตซึ่งเชิญมาแต่กรุงสุโขทัยในสมัยรัชกาลที่ ๑ ก็มีพระราชประสงค์จะสร้างแทนวัดพระเจ้าพนัญเชิงที่กรุงเก่าดังนี้เป็นต้น" รายละเอียดอื่นๆสามารถอ่านได้จาก Website ข้างต้นค่ะ


ช่วงบ่ายหลังอิ่มอร่อยกับ Buffet โรงแรมแล้ว ไกด์พาเราไป (6) กราบสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม "ไหว้พระวัดระฆัง มีชื่อเสียงโด่งดัง ตลอดปี"
แวะชมหอพระไตรปิฎก เป็นเรือนไทยซึ่งเคยเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 1 สมัยที่ทรงรับราชการอยู่กรุงธนบุรี
รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จากที่นี่ค่ะตู้พระธรรม หอไตร วัดระฆังโฆสิตาราม


พักหายเหนื่อยหายร้อนซักหน่อย แล้วเดินทางต่อไป (7) “ไหว้พระวัดอรุณ ชีวิตรุ่งโรจน์ ทุกคืนวัน”


และกราบพระที่ (8) วัดกัลยาณมิตร “ไหว้หลวงพ่อซำปอกง โชคดีมีชัย ปลอดภัย ตลอดปี”
ที่บริเวณลานจอดรถของวัด มีขนมฝรั่งกุฎจีนขายอยู่หลายเจ้า (น่ากิน)

ปิดท้ายสำหรับการเดินทางเพื่อความเป็นสิริมงคลของวันนี้ที่ (9) วัดชนะสงคราม “ไหว้พระชนะสงคราม อุปสรรคร้าย พ่ายแพ้”

ถ่ายรูปป้ายโปรโมทการไหว้พระ 9 เก้าวัดในกรุงเทพฯของททท. มาด้วย ต่างกันตรงที่พวกเราไม่ได้ไปวัดบวรฯ กับวัดสระเกศ



..ช่วงบ่ายนี่แดดร้อนมากๆๆ แล้วพอไปหลายๆวัดเข้าก็ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย เบลอไปหมด ไกด์พูดอะไรก็ขี้เกียจฟังแล้ว ได้แต่ไปๆให้ครบ 9 วัด คราวหน้าถ้าเรามากันเอง ทยอยไหว้พระแค่ครึ่งวันเช้าซัก 3 วัดจะกำลังดี ตอนบ่ายควรหลบร้อนไปหาร้านกาแฟอร่อยๆ กินเค้กนุ่มๆ นั่งพักนั่งเม้าท์ให้สบายจะดีกว่า อิอิ (จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีอะไรจะเขียนเกี่ยวกับวัดที่ไปเที่ยวช่วงบ่ายเรย)